มากู้ชีพแบตเตอรี่โน้ตบุ๊คที่เสื่อมให้กลับมีชีวิตขึ้นมาใหม่อีกครั้งกัน
แบตเตอรี่โน้ตบุ๊คในปัจจุบัน ส่วนใหญ่จะมีอยู่ 2 ชนิดคือ Lithium-ion หรือ Li-ion และ Lithium Polymer หรือ Li-Po โดยที่ทั้ง 2 ชนิดนี้ก็เป็นแบตเตอรี่มาตฐานทั่วไปแต่ในภายหลัง แบตแบบ Li-Po นั้นก็กำลังเป็นที่นิยมเรื่อยๆ เนื่องจากประสิทธิภาพที่ดีกว่าแบบ Li-On และยังสามารถปรับเปลี่ยนรูปร่างได้เพื่อการประหยัดเนื้อที่ภายในตัวเครื่องโน้ตบุ๊คได้ แต่ก็ต้องแลกกับราคาของแบตที่ยังคงสูงกว่าแบบ Li-On
เราจะรู้ได้อย่างไรว่าแบตเตอรี่โน้ตบุ๊คของเราเริ่มเสื่อมแล้วหรือยัง?? เราก็สังเกตง่ายๆโดยการใช้งานทั่วไปนี่แหละครับ จากแต่เดิมที่เคยใช้งานต่อเนื่องได้นาน 3-4 ชั่วโมง แต่ตอนนี้กลับเหลือแค่ 2 ชั่วโมงก็จะดับแล้ว แบบนี้เป็นต้น นั่นก็แสดงว่าแบตเตอรี่ของคุณเริ่มแสดงอาการเสื่อม หรืออาการเก็บประจุไม่ค่อยอยู่แล้วนั่นเองครับ
วิธีการที่จะนำเสนอ เพื่อช่วยฟื้นฟูแบตเตอรี่โน้ตบุ๊คที่เสื่อมแล้วให้กลับมาเก็บประจุได้ใหม่อีก ซึ่งอาจจะไม่ได้ฟื้นคืนได้ 100% แต่อย่างมากก็ช่วยให้การเก็บของประจุได้จัด Life Cycle ใหม่นั่นเอง (Life Cycle คือ อายุการใช้งานของแบตเตอรี่จากการชาร์จตั้งแต่ 0-100% แบบนี้จะเรียก หนึ่งรอบ ถ้าใช้งานแค่ 50% แล้วชาร์จจนถึง 100% จะเรียก 0.5 รอบ ถ้าชาร์จอีกครั้งต่อไปจนครบ 50% รวมเป็น 100% ก็จะเรียกหนึ่งรอบเช่นเดียวกัน) ดังนั้นแบตเตอรี่ในปัจจุบัน จะมีอายุการใช้งานอยู่ที่ 300-400 Life Cycle หลังจากนั้นเมื่อชาร์จจนเกิน 400 Life Cycle แล้วความสามารถในการเก็บประจุก็จะค่อยๆลดลง จาก 1 รอบที่เคยเต็ม 100% ก็จะเหลือรอบละ 80% = 1 รอบ เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ตามอายุไขของอุปกรณ์ครับ
Calibrate Battery วิธีนี้จะช่วยให้ฟื้นฟูแบตให้มีการเรียงประจุหรือเริ่มนับรอบใหม่สำครับผู้ที่ไม่เคยได้ทำการ Calibrate Battery ครับ วิธีการก็คือ
1. ทำการชาร์จแบตเตอรี่จนเต็ม แล้วก็ทำการชาร์จต่อไปอีกอย่างต่อเนื่องซัก 30-45 นาที(หลังจากเต็มแล้ว)
2. หลังจากนั้นทำการถอดสายชาร์จแล้วใช้งานโน้ตบุ๊ค เพื่อใช้งานแบตเตอรี่จนเกือบหมด อาจจะเหลือแค่5-10 % เท่านั้นพอ
3. หยุดการใช้งานของเครื่องโดยการ Shut Down เพื่อเป็นการให้แบตเตอรี่คายประจุตัวเอง อย่างน้อยครึ่งวันหรือ 1 คืน
4. เมื่อปล่อยให้แบตเตอรี่คายประจุอย่างเต็มที่แล้ว ให้ทำการเปิดเครื่องแล้วเสียบสายชาร์จ แล้วปล่อยชาร์จไปจนเต็ม 100% จากนั้นค่อยใช้งานตามปกติครับ
**ข้อแนะนำ ในระหว่างการชาร์จขั้นตอนที่ 4 นี้ ควรปล่อยเครื่องไว้เฉยๆ ไม่ควรชาร์จไปเล่นไป หรือหากเปิด ไวไฟ หรือบลูทูธอยู่ ก็ให้ทำการปิดระบบส่วนนี้ไปก่อน รอจนชาร์จเต็มแล้วค่อยทำการใช้งานตามปกติครับ เนื่องจากเป็นการ Calibrate Battery อยู่ซึ่งตัวแบตจะทำการนับรอบ Life Cycle ในขั้นตอนนี้ครับเพื่อประสิทธิภาพในการฟื้นฟูแบตเตอรี่ที่ดีที่สุดครับ
ข้อเสนอแนะในการ Calibrate Battery ไม่ควรทำบ่อยอย่างน้อย 1 เดือนควรจะทำแบบนี้ครั้งนึงครับ ส่วนนอกนั้นเราก็ทำการชาร์จตามปกติไป ครับเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้แบตเสื่อมก่อนเวลาอันควรครับ ยังไงท่านใดที่กำลังประสบปัญหานี้อยู่ลองเอาวิธีนี้ไปทำตามกันดูนะครับ
ขอแถมเกร็ดความรู้เล็กน้อยเพื่อป้องกันไม่ให้แบตเตอรี่ของเราเสื่อมก่อนเวลาอันควรนะครับ
1. ไม่ควรใช้งานและชาร์จแบตเตอรี่จำพวก Li-On หรือ Li-Po ในที่ๆมีอากาศร้อน เนื่องจากแบตพวกนี้ไม่ชอบอากาศร้อนเอามากๆครับ หากจำเป็นจริงๆควรหาตัวช่วยเพื่อช่วยระบายความร้อนอย่างเช่นฐานรองโน้ตบุ๊คแบบมีพัดลม หรือพัดลมตั้งโต๊ะเป่าเลยครับให้อากาศถ่ายเทสะดวกๆไม่ให้เกิดความร้อนสะสมในตัวเครื่องและตัวแบต
2. ไม่ควรใช้พลังงานจากแบตเตอรี่จนเหลือ 0% หรือใช้จนเครื่องดับ เพราะนั่นหมายความในตัวแบตแทบจะไม่เหลือประจุพลังงานอยู่เลย ทำให้ในการเสียบสายชาร์จเพื่อชาร์จแบตเตอรี่นั้นต้องใช้แรงดันประจุมากกว่าเดิมในการดันไฟเพื่อให้เครื่องทำงาน ซึ่งจะทำให้แบตเตอรี่ร้อนกว่าเดิมส่งผลให้แบตเสื่อมได้ เมื่อเห็นว่าแบตเหลือ 20% ก็ทำการชาร์จได้แล้วครับ หลักการนี้ยังเอาไปใช้กับ Smart Phone ได้ด้วยเช่นกันนะครับไม่ควรใช้จนแบตหมดหรือจนเครื่องดับครับ
หากท่านทำการถนอมแบตเตอรี่อย่างเต็มที่แล้วแต่หากระยะเวลาการใช้งานผ่านมาค่อนข้างนานแล้ว ซัก 2 ปี ก็ขอให้ท่านทำใจไว้ว่าย่อมมีการเสื่อมของแบตตามอายุไขแน่นอนครับ อย่างน้อยเราก็ได้ใช้งานและรักษาอย่างทะนุถนอมแล้วครับ